โรลส์-รอยซ์เผชิญกับการลดลงของยอดขายรถยนต์ในปี 2024 แต่ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาและส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่สองตามมาหลังจาก Spectre ยอดขายรวมอยู่ที่ 5,712 คัน ลดลงจาก 6,032 คันในปี 2023 แม้จะเป็นการลดลง แต่บริษัทยังมองว่าเป็นไปตามแผนที่คาดการณ์ไว้ และยังคงเป็นยอดขายสูงสุดอันดับสามในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ การเติบโตของรถ SUV และ EV ส่งผลให้ Cullinan และ Spectre กลายเป็นรุ่นยอดนิยมในหลายตลาด แผนก Bespoke Customisation ยังประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นถึง 10% และมีการลงทุนกว่า 300 ล้านปอนด์ในการขยายโรงงานเพื่อรองรับการปรับแต่งที่ซับซ้อนมากขึ้น
แม้ยอดขายของโรลส์-รอยซ์จะลดลง 5% ในปี 2024 โดยมียอดขายรวม 5,712 คัน ลดลงจาก 6,032 คันในปี 2023 แต่บริษัทยังคงมองว่าเป็นไปตามแผนที่ได้คาดการณ์ไว้ ยอดขายในปีนี้ยังคงเป็นยอดรวมสูงสุดอันดับสามในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวของโรลส์-รอยซ์ต่อภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง
การลดลงของยอดขายไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมทางธุรกิจของโรลส์-รอยซ์ เนื่องจากยอดขายยังคงอยู่ในระดับสูงและเป็นไปตามที่คาดหวังไว้ นอกจากนี้ ยอดขายของ Spectre รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของแบรนด์ ยังแซงหน้า Cullinan ในบางตลาด เช่น ไทยและยุโรป ในขณะที่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อเมริกาเหนือ และเอเชียแปซิฟิก Cullinan ยังคงครองตำแหน่งยอดขายสูงสุด แต่ Spectre ก็สามารถคว้าอันดับสองได้
แม้ยอดขายรถยนต์จะลดลง แต่แผนก Bespoke Customisation กลับสร้างรายได้เพิ่มขึ้นถึง 10% ซึ่งถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ลูกค้าของโรลส์-รอยซ์ยังคงเลือกแบรนด์เพื่อสร้างรถยนต์ที่มีเอกลักษณ์และความพิเศษ พร้อมเพิ่มมูลค่าให้กับตัวรถ ผ่านการปรับแต่งที่หลากหลาย เช่น ประติมากรรมทองคำภายในห้องโดยสาร การปักลวดลายสุดประณีต และการประดับด้วยเปลือกมุก
โรลส์-รอยซ์กำลังลงทุน 300 ล้านปอนด์ในการขยายโรงงานที่ Goodwood เพื่อรองรับความต้องการปรับแต่งที่ซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบในอนาคต การลงทุนนี้จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการผลิตและการปรับแต่งรถให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้โรลส์-รอยซ์ยังคงเป็นผู้นำในวงการยานยนต์หรูหรา
รถยนต์ไฟฟ้า BYD SEAL เปิดตัวในประเทศไทยด้วยสามเวอร์ชัน ได้แก่ Dynamic RWD, Premium RWD และ AWD Performance ซึ่งมีราคาเริ่มต้นที่ 1,325,000 บาท จนถึง 1,599,000 บาท รถรุ่นนี้โดดเด่นด้วยการออกแบบภายนอกที่สวยงามและภายในที่สะดวกสบาย รวมถึงระบบความปลอดภัยขั้นสูงและเทคโนโลยีทันสมัย เช่น หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ ระบบชาร์จไฟแบบรวดเร็ว และการรับประกันแบตเตอรี่นานถึง 8 ปีหรือ 160,000 กิโลเมตร ทำให้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่
BYD SEAL มีการออกแบบภายนอกที่สะท้อนถึงความสวยงามของศิลปะทะเล โดยมีเส้นสายที่โฉบเฉี่ยวและทรงพลัง ด้านหน้าของรถออกแบบตามสไตล์ X-SHAPED DESIGN ซึ่งเพิ่มความทันสมัยและความโดดเด่น นอกจากนี้ ไฟท้าย LED ที่มีรูปหยดน้ำเรียงเป็นชั้นๆ ยังเสริมความสวยงามและสร้างเอกลักษณ์ให้กับรถ ส่วนหลังคากระจกพาโนรามิกเคลือบ Silver-plated ช่วยลดแสงแดดที่ส่องเข้ามาภายในรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขนาดใหญ่ถึง 1.9 ตารางเมตร ทำให้ผู้โดยสารสามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพรอบข้างได้กว้างขวาง
ภายในของ BYD SEAL ได้รับการออกแบบให้ทันสมัยและสะดวกสบาย เครื่องเกียร์ไฟฟ้าแบบคริสตัลและหน้าจอสัมผัสหมุนได้ขนาด 15.6 นิ้ว ที่มีความละเอียดสูงถึง 1080P เพิ่มความสะดวกในการใช้งานและการควบคุมระบบต่างๆ ของรถ ระบบเครื่องเสียง DYNAUDIO ลำโพง 12 จุด มอบประสบการณ์การฟังเพลงที่คมชัดและน่าประทับใจ ในขณะที่ระบบสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยทำให้การควบคุมอุปกรณ์ภายในรถง่ายขึ้น ทั้งหมดนี้ช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกสบายและสนุกสนานตลอดการเดินทาง
เมื่อพูดถึงระบบส่งกำลัง BYD SEAL มีการนำเสนอโมเดลที่หลากหลาย รุ่น Dynamic RWD มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หลังที่มีกำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ ขณะที่รุ่น Premium RWD มีกำลังสูงสุด 230 กิโลวัตต์ ส่วนรุ่น AWD Performance ที่ทรงพลังที่สุด มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อและมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้า-หลัง ให้กำลังสูงสุดถึง 390 กิโลวัตต์ ทั้งสามรุ่นมีระยะทางวิ่งที่แตกต่างกัน โดยรุ่น Premium RWD สามารถวิ่งได้ไกลถึง 650 กิโลเมตร ภายใต้มาตรฐาน NEDC Combined Cycle การชาร์จไฟก็มีความสะดวกและรวดเร็วด้วยระบบชาร์จ DC ที่รองรับกำลังสูงสุดถึง 150kW สำหรับรุ่น Premium RWD และ AWD Performance
BYD SEAL ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะในด้านประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงความปลอดภัยอย่างมาก ด้วยระบบความปลอดภัยครบครัน อาทิ ถุงลมนิรภัยหลายตำแหน่ง กล้องมองรอบคัน 360 องศา และระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้ขับขี่สามารถมั่นใจในการขับขี่บนถนนได้มากยิ่งขึ้น ด้วยการออกแบบที่ทันสมัย เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า และระบบความปลอดภัยที่ครบครัน BYD SEAL กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ที่ผสมผสานระหว่างความสวยงาม ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยได้อย่างลงตัว
ในปี 2024 การจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (EV) ในประเทศไทยลดลง 8.1% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยมียอดจดทะเบียนอยู่ที่ 70,137 คัน แม้จะมีการลดลง แต่ยังคงเห็นความแข็งแกร่งของแบรนด์จากประเทศจีน โดยเฉพาะ BYD ที่ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 38.5% ด้วยยอดขาย 27,005 คัน เหตุผลหลักมาจากกลยุทธ์ในการใช้ไทยเป็นฐานสำคัญสำหรับการเจาะตลาดอาเซียน ทำให้ BYD สามารถยึดตำแหน่งแชมป์ยอดขายได้อย่างต่อเนื่องกว่า 18 เดือน รวมถึงความสำเร็จในสิงคโปร์และญี่ปุ่น ซึ่ง BYD แซงหน้า Toyota และ Tesla ในการครองส่วนแบ่งตลาด EV
BYD ได้เปิดตัวรถรุ่น Atto 3 ในประเทศไทยเมื่อเดือนตุลาคม 2022 และเริ่มจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกัน ตั้งแต่นั้นมา BYD สามารถยึดตำแหน่งผู้นำในตลาดรถ EV ของไทยได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีรถ 1 ใน 3 คันที่ขายในไทยเป็นของ BYD ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของแบรนด์นี้ นอกจากนี้ BYD ยังใช้ไทยเป็นศูนย์กลางในการขยายธุรกิจไปยังประเทศสมาชิกอาเซียน
ในสิงคโปร์ หลังจากการเปิดตัว Atto 3 ในเดือนกรกฎาคม 2022 ยอดขายรถ EV ของ BYD เพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2024 โดยมียอดขาย 6,191 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 1,416 คันในปี 2023 ทำให้ BYD ครองส่วนแบ่งตลาด 14.4% สูงกว่า Toyota BMW และ Mercedes-Benz ที่ตามมา ขณะเดียวกัน Tesla ก็มียอดขายทะลุ 2,384 คัน เป็นครั้งแรก
ในญี่ปุ่น BYD สามารถแซงหน้า Toyota ในการขายรถ EV เป็นครั้งแรกในปี 2024 โดยมียอดขาย 2,223 คัน เพิ่มขึ้น 54% จากปีก่อนหน้า ในขณะที่ยอดขายของ Toyota ลดลง 30% เหลือเพียง 2,038 คัน นอกจากนี้ ในเกาหลีใต้ BYD ยังประสบความสำเร็จอย่างมากด้วยยอดจองเกิน 1,000 คัน ภายในเวลาเพียง 1 สัปดาห์ หลังจากเริ่มจำหน่าย
ความสำเร็จของ BYD ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วเอเชียแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคและการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะสม ทำให้ BYD กลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้อย่างไม่อาจปฏิเสธ