ในตลาดรถยนต์ที่มีการแข่งขันสูง บริษัทฮุนไดได้สร้างความโดดเด่นด้วยรถ MPV จนกลายเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ในเซ็กเมนต์นี้ ล่าสุดได้ขยายฐานลูกค้าด้วยการแนะนำ Hyundai Palisade SUV ขนาดใหญ่ที่เน้นไปที่กลุ่มครอบครัวและผู้ชื่นชอบการใช้ชีวิตกลางแจ้ง บทความนี้จะนำเสนอรายละเอียดของรถยนต์รุ่นใหม่นี้ พร้อมประสบการณ์การทดสอบจากทางฝ่ายขายของฮุนไดในประเทศไทย
ในวันที่อากาศเย็นสบาย เหล่าสื่อมวลชนได้มีโอกาสทดสอบ Hyundai Palisade รุ่น Prestige (4WD) ที่มาพร้อมราคา 2.499 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรุ่นท็อปของไลน์นี้ ยานพาหนะที่มีการออกแบบภายนอกให้ดูแข็งแกร่งและทรงพลัง ด้วยกระจังหน้าแบบ Premium Parametric Shield และไฟหน้า Full LED ทำให้ยานพาหนะดูคล้ายกับ SUV ระดับพรีเมียมจากยุโรป
ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบอย่างประณีต ทั้งพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน จอแสดงผลขนาด 12.3 นิ้ว ระบบชาร์จสมาร์ตโฟนไร้สาย และเบาะคนขับที่สามารถบันทึกตำแหน่งได้สองแบบ เพิ่มความสะดวกสบายในการสลับกันขับขี่ รวมถึงเบาะแถวที่สามที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้อย่างสะดวกสบาย หรือพับลงเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระ
การทดสอบเริ่มต้นที่ H-SPACE โชว์รูมและศูนย์บริการแฟล็กชิปของฮุนไดบนถนนวิภาวดี ในช่วงเย็นวันธรรมดา การขับขี่ในสภาพจราจรที่หนาแน่นทำให้เห็นความสามารถของ Palisade ในการควบคุมสถานการณ์ได้อย่างดี ด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบขนาด 2.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 197 แรงม้า ทำให้การแซงรถอื่นๆ เป็นไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัย แม้แต่การขับขี่ระยะไกลก็ไม่เป็นปัญหา เนื่องจากช่วงล่างที่เข้มแข็งและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำให้การขับขี่บนทางหลวงเป็นไปอย่างนุ่มนวลและมั่นคง
จากการทดสอบพบว่า Hyundai Palisade ให้ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันที่น่าพอใจ โดยสามารถวิ่งได้ 502.9 กิโลเมตรด้วยน้ำมันเต็มถัง ซึ่งเทียบเท่ากับอัตราสิ้นเปลือง 12.0 กิโลเมตรต่อลิตร แม้ว่าจะเป็นตัวเลขที่ไม่ใช่ที่สุด แต่ก็ถือว่าน่าพอใจเมื่อพิจารณาถึงขนาดและความสามารถของยานพาหนะ
จากมุมมองของผู้เขียน ฮุนได พาลิเสด คือยานพาหนะที่ตอบโจทย์สำหรับครอบครัวที่ต้องการยานพาหนะที่ใหญ่ สะดวกสบาย และมีประสิทธิภาพในการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางระยะใกล้หรือไกล ยานพาหนะนี้สามารถรองรับทุกความต้องการได้อย่างครบครัน รวมถึงการออกแบบที่ทันสมัยและเทคโนโลยีที่ครบครัน ทำให้ Palisade เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ SUV ระดับพรีเมียม
ในปี พ.ศ. 2568 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ประกาศเป้าหมายการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เพื่อตอบสนองความต้องการทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าผลิตรถยนต์จำนวน 1,500,000 คัน และรถจักรยานยนต์จำนวน 2,100,000 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าตามลำดับ อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์นี้พิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น อัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน และภาวะเศรษฐกิจโลก
ในช่วงเวลาที่เปลี่ยนผ่านสู่ปีใหม่ ส.อ.ท. ได้กำหนดแผนการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์สำหรับปี พ.ศ. 2568 ไว้อย่างชัดเจน สำหรับรถยนต์ ตั้งเป้าผลิตรวม 1,500,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.11 จากปีที่แล้ว โดยแบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 1,000,000 คัน และจำหน่ายภายในประเทศ 500,000 คัน ขณะเดียวกัน รถจักรยานยนต์ตั้งเป้าผลิตรวม 2,100,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.28 ซึ่งแบ่งเป็นการส่งออก 400,000 คัน และจำหน่ายภายในประเทศ 1,700,000 คัน
นอกจากนี้ ส.อ.ท. ยังประเมินว่าปัจจัยบวกที่จะสนับสนุนการผลิตและจำหน่ายในประเทศรวมถึงโครงการรถยนต์ไฟฟ้า EV 3.0 ที่จะช่วยกระตุ้นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ เศรษฐกิจที่ขยายตัว การท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ จะช่วยเสริมกำลังซื้อของประชาชน ในทางตรงกันข้าม ปัจจัยลบ เช่น ความเข้มงวดในการปล่อยคาร์บอนและภาวะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการผลิตในอนาคต
สำหรับยอดขายรถยนต์ในปี พ.ศ. 2567 อยู่ที่ 572,675 คัน ลดลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจากมาตรการควบคุมการปล่อยคาร์บอนในยุโรปและคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นในตลาด
จากเป้าหมายการผลิตที่ตั้งไว้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ในการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมตัวรับมือกับนโยบายภาษีนำเข้า การแข่งขันในตลาด และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี อาทิเช่น การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า การตั้งเป้าหมายเหล่านี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความหวังในการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม แต่ยังเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น ผ่านการใช้เทคโนโลยีที่สะอาดและมีประสิทธิภาพ
การจัดงานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 46 ในปี พ.ศ. 2568 มีความคืบหน้าตามแผนงาน โดยได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการยานยนต์ทั้งในยุโรปและเอเชียกว่า 53 ราย พร้อมนำเสนอเทคโนโลยียานยนต์ล่าสุด และสร้างประสบการณ์พิเศษให้กับผู้เข้าชม นอกจากนี้ยังมีการขยายพื้นที่สำหรับผู้ผลิตอุปกรณ์ตกแต่งรถและอะไหล่ยานยนต์ คาดว่าจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
งานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 46 มีความคืบหน้าตามแผนงานที่กำหนดไว้ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ประกอบการยานยนต์ทั้งในยุโรปและเอเชีย โดยมีผู้เข้าร่วมงานถึง 53 ราย แบ่งเป็นรถยนต์ 40 บริษัท และจักรยานยนต์ 13 ราย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสนใจและความตั้งใจของภาคธุรกิจในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยียานยนต์ล่าสุดภายในงาน
นอกจากนี้ การจัดงานในครั้งนี้ยังเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์สันดาปหรือรถยนต์ไฟฟ้า ที่จะได้รับข้อเสนอที่คุ้มค่า เข้าถึงเทคโนโลยีล่าสุด และสิทธิพิเศษมากมาย ทำให้งานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้กลายเป็นแหล่งรวมเทคโนโลยียานยนต์และประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร ที่สามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้เข้าชมได้ไม่แพ่งานในอดีต
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของการจัดงานครั้งนี้คือการเตรียมพื้นที่กว่า 9,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับการออกบูธอุปกรณ์ตกแต่งรถโดยเฉพาะ โดยมีการขยายฐานผู้ออกบูธสู่กลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายอะไหล่รถทั้งประเภทสันดาปและไฟฟ้า ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสและศักยภาพของตลาดยานยนต์ไทย
นอกจากนี้ยังมีการนำสินค้าอุปกรณ์อะไหล่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนมาแสดงภายในงาน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของการเชื่อมโยงทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการในวงการยานยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทจากประเทศจีนที่นำมาแสดงสินค้ากว่า 80 บูธ บนพื้นที่กว่า 3,800 ตารางเมตร ภายในฟอรั่มฮอลล์ 4 ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้พบกับผู้ผลิตจากต่างประเทศและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจใหม่ๆ