รถยนต์ไฟฟ้า BYD SEAL เปิดตัวในประเทศไทยด้วยสามเวอร์ชัน ได้แก่ Dynamic RWD, Premium RWD และ AWD Performance ซึ่งมีราคาเริ่มต้นที่ 1,325,000 บาท จนถึง 1,599,000 บาท รถรุ่นนี้โดดเด่นด้วยการออกแบบภายนอกที่สวยงามและภายในที่สะดวกสบาย รวมถึงระบบความปลอดภัยขั้นสูงและเทคโนโลยีทันสมัย เช่น หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ ระบบชาร์จไฟแบบรวดเร็ว และการรับประกันแบตเตอรี่นานถึง 8 ปีหรือ 160,000 กิโลเมตร ทำให้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่
BYD SEAL มีการออกแบบภายนอกที่สะท้อนถึงความสวยงามของศิลปะทะเล โดยมีเส้นสายที่โฉบเฉี่ยวและทรงพลัง ด้านหน้าของรถออกแบบตามสไตล์ X-SHAPED DESIGN ซึ่งเพิ่มความทันสมัยและความโดดเด่น นอกจากนี้ ไฟท้าย LED ที่มีรูปหยดน้ำเรียงเป็นชั้นๆ ยังเสริมความสวยงามและสร้างเอกลักษณ์ให้กับรถ ส่วนหลังคากระจกพาโนรามิกเคลือบ Silver-plated ช่วยลดแสงแดดที่ส่องเข้ามาภายในรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขนาดใหญ่ถึง 1.9 ตารางเมตร ทำให้ผู้โดยสารสามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพรอบข้างได้กว้างขวาง
ภายในของ BYD SEAL ได้รับการออกแบบให้ทันสมัยและสะดวกสบาย เครื่องเกียร์ไฟฟ้าแบบคริสตัลและหน้าจอสัมผัสหมุนได้ขนาด 15.6 นิ้ว ที่มีความละเอียดสูงถึง 1080P เพิ่มความสะดวกในการใช้งานและการควบคุมระบบต่างๆ ของรถ ระบบเครื่องเสียง DYNAUDIO ลำโพง 12 จุด มอบประสบการณ์การฟังเพลงที่คมชัดและน่าประทับใจ ในขณะที่ระบบสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยทำให้การควบคุมอุปกรณ์ภายในรถง่ายขึ้น ทั้งหมดนี้ช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกสบายและสนุกสนานตลอดการเดินทาง
เมื่อพูดถึงระบบส่งกำลัง BYD SEAL มีการนำเสนอโมเดลที่หลากหลาย รุ่น Dynamic RWD มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หลังที่มีกำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ ขณะที่รุ่น Premium RWD มีกำลังสูงสุด 230 กิโลวัตต์ ส่วนรุ่น AWD Performance ที่ทรงพลังที่สุด มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อและมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้า-หลัง ให้กำลังสูงสุดถึง 390 กิโลวัตต์ ทั้งสามรุ่นมีระยะทางวิ่งที่แตกต่างกัน โดยรุ่น Premium RWD สามารถวิ่งได้ไกลถึง 650 กิโลเมตร ภายใต้มาตรฐาน NEDC Combined Cycle การชาร์จไฟก็มีความสะดวกและรวดเร็วด้วยระบบชาร์จ DC ที่รองรับกำลังสูงสุดถึง 150kW สำหรับรุ่น Premium RWD และ AWD Performance
BYD SEAL ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะในด้านประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงความปลอดภัยอย่างมาก ด้วยระบบความปลอดภัยครบครัน อาทิ ถุงลมนิรภัยหลายตำแหน่ง กล้องมองรอบคัน 360 องศา และระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้ขับขี่สามารถมั่นใจในการขับขี่บนถนนได้มากยิ่งขึ้น ด้วยการออกแบบที่ทันสมัย เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า และระบบความปลอดภัยที่ครบครัน BYD SEAL กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ที่ผสมผสานระหว่างความสวยงาม ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยได้อย่างลงตัว
ในปี 2024 การจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (EV) ในประเทศไทยลดลง 8.1% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยมียอดจดทะเบียนอยู่ที่ 70,137 คัน แม้จะมีการลดลง แต่ยังคงเห็นความแข็งแกร่งของแบรนด์จากประเทศจีน โดยเฉพาะ BYD ที่ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 38.5% ด้วยยอดขาย 27,005 คัน เหตุผลหลักมาจากกลยุทธ์ในการใช้ไทยเป็นฐานสำคัญสำหรับการเจาะตลาดอาเซียน ทำให้ BYD สามารถยึดตำแหน่งแชมป์ยอดขายได้อย่างต่อเนื่องกว่า 18 เดือน รวมถึงความสำเร็จในสิงคโปร์และญี่ปุ่น ซึ่ง BYD แซงหน้า Toyota และ Tesla ในการครองส่วนแบ่งตลาด EV
BYD ได้เปิดตัวรถรุ่น Atto 3 ในประเทศไทยเมื่อเดือนตุลาคม 2022 และเริ่มจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกัน ตั้งแต่นั้นมา BYD สามารถยึดตำแหน่งผู้นำในตลาดรถ EV ของไทยได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีรถ 1 ใน 3 คันที่ขายในไทยเป็นของ BYD ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของแบรนด์นี้ นอกจากนี้ BYD ยังใช้ไทยเป็นศูนย์กลางในการขยายธุรกิจไปยังประเทศสมาชิกอาเซียน
ในสิงคโปร์ หลังจากการเปิดตัว Atto 3 ในเดือนกรกฎาคม 2022 ยอดขายรถ EV ของ BYD เพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2024 โดยมียอดขาย 6,191 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 1,416 คันในปี 2023 ทำให้ BYD ครองส่วนแบ่งตลาด 14.4% สูงกว่า Toyota BMW และ Mercedes-Benz ที่ตามมา ขณะเดียวกัน Tesla ก็มียอดขายทะลุ 2,384 คัน เป็นครั้งแรก
ในญี่ปุ่น BYD สามารถแซงหน้า Toyota ในการขายรถ EV เป็นครั้งแรกในปี 2024 โดยมียอดขาย 2,223 คัน เพิ่มขึ้น 54% จากปีก่อนหน้า ในขณะที่ยอดขายของ Toyota ลดลง 30% เหลือเพียง 2,038 คัน นอกจากนี้ ในเกาหลีใต้ BYD ยังประสบความสำเร็จอย่างมากด้วยยอดจองเกิน 1,000 คัน ภายในเวลาเพียง 1 สัปดาห์ หลังจากเริ่มจำหน่าย
ความสำเร็จของ BYD ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วเอเชียแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคและการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะสม ทำให้ BYD กลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้อย่างไม่อาจปฏิเสธ
การแข่งขันรถยนต์ออฟโรดที่ถือว่าเป็นหนึ่งในรายการที่ยากที่สุดของโลกได้กลับมาอีกครั้งในปี 2025 ด้วยเส้นทางที่ท้าทายผ่านทะเลทรายอันกว้างใหญ่และภูมิประเทศที่รุนแรง ทีมฟอร์ด เพอร์ฟอร์มานซ์ ได้นำรถฟอร์ด แร็พเตอร์ T1+ เข้าร่วมในการทดสอบสมรรถนะและความแข็งแกร่งบนถนนที่ไม่เคยมีใครกล้าท้าทายมาก่อน หลังจากการแข่งขันยาวนานตลอด 2 สัปดาห์ ทีมฟอร์ดสามารถแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการฝ่าฟันอุปสรรคและคว้าชัยชนะในระดับที่สูงสุดของการแข่งขัน
การแข่งขันดาการ์ แรลลี่ 2025 มีเส้นทางที่ทอดผ่านทะเลทรายของซาอุดีอาระเบีย โดยเฉพาะบริเวณ Empty Quarter ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ท้าทายที่สุดบนโลก การแข่งขันนี้ใช้เวลาตลอด 2 สัปดาห์ ผ่านเส้นทางหลายพันกิโลเมตร ที่รวมถึงเนินทรายและหุบเขา ทีมฟอร์ด เพอร์ฟอร์มานซ์ นำโดยแมทเทียส เอ็กสตร็อม และ เอมิล เบิร์กควิสต์ สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม คว้าอันดับที่ 3 ในคลาส Ultimate ซึ่งเป็นคลาสสูงสุดของการแข่งขัน
สำหรับการแข่งขันในปีนี้ ฟอร์ดได้เตรียมความพร้อมอย่างมาก โดยนำข้อมูลจากปีที่แล้วมาปรับปรุงและพัฒนารถแข่งให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รถฟอร์ด แร็พเตอร์ T1+ ถูกออกแบบและปรับแต่งร่วมกับ M-Sport ด้วยเครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร ที่ให้กำลังและแรงบิดเต็มพิกัด ระบบช่วงล่างที่ได้รับการออกแบบพิเศษเพื่อรองรับการขับขี่บนเส้นทางที่ท้าทาย รวมถึงระยะห่างจากพื้นที่เพิ่มขึ้นจากโมเดลก่อนหน้านี้ ทำให้รถสามารถผ่านเส้นทางที่ยากลำบากได้อย่างราบรื่น
ผลสำเร็จในการแข่งขันครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของฟอร์ดในการพัฒนาเทคโนโลยีและสมรรถนะของรถออฟโรด นอกจากนี้ยังเป็นการยืนยันว่าฟอร์ดมีศักยภาพในการแข่งขันในรายการที่ยากที่สุดของโลก ผ่านการทดสอบบนเส้นทางที่ไม่มีใครกล้าท้าทาย ทีมฟอร์ด เพอร์ฟอร์มานซ์ ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่า