Walt Disney Studios ได้ประกาศว่าเรื่องราวของเจ้าหญิงผมยาวจะเปลี่ยนแปลงจากแอนิเมชันไปเป็นภาพยนตร์เต็มรูปแบบ. เรื่องราวนี้จะมี Tangled หรือ ราพันเซล เจ้าหญิงผมยาวและโจรซ่าจอมแสบในฉบับไลฟ์แอ็กชั่น. หลังจากสร้างความประทับใจ 14 ปีแล้ว, เรื่องนี้กำลังเตรียมให้เสร็จและจะได้ผู้กำกับจาก The Greatest Showman ไมเคิล เกรซซีย์ และผู้เขียนบทแม่ เจนนิเฟอร์ เคย์ติน โรบินสัน.

Walt Disney Studios สร้างความประทับใจใหม่จากแอนิเมชันไปภาพยนตร์

การเตรียมสร้าง Tangled

Walt Disney Studios ได้เริ่มเตรียมสร้าง Tangled หรือ ราพันเซล เจ้าหญิงผมยาวและโจรซ่าจอมแสบในฉบับไลฟ์แอ็กชั่น. หลังจากสร้างความประทับใจมาแล้ว 14 ปี, สิ่งนี้กำลังเตรียมให้เสร็จและจะเป็นเรื่องใหม่ที่จะทำให้ผู้ชมสนุกและประทับใจ. Tangled เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันคลาสสิกในปี 2010 ของ Walt Disney Studios และได้ทำรายได้ไปมากถึง 590 ล้านดอลลาร์ พร้อมกับเพลงประกอบ I See the Light ที่แสนไพเราะ.

ผู้กำกับและผู้เขียนบทแม่

ในรายงานล่าสุดของ Deadline และ Variety, พบว่าภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่น Tangled จะได้ไมเคิล เกรซซีย์ ผู้กำกับจากภาพยนตร์มิวสิคัล The Greatest Showman มานั่งเก้าอี้เป็นผู้กำกับ. แถมยังได้เจนนิเฟอร์ เคย์ติน โรบินสัน มาเป็นผู้เขียนบทแม่. แม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดเผยรายชื่อนักแสดง แต่ก็ทำให้แฟน ๆ ลุ้นว่าใครบ้างที่จะมาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวความสนุกและการผจญภัยสุดแฟนตาซีของเจ้าหญิงผมยาว.

ประวัติและผลตอบแทนของ Tangled

Tangled เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันคลาสสิกในปี 2010 ของ Walt Disney Studios. มันได้ทำรายได้ไปมากถึง 590 ล้านดอลลาร์และเพลงประกอบ I See the Light ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยม. สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมและเป็นประวัติสำคัญในชีวิตของ Walt Disney Studios.

คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) ได้ยืนยันว่ากำลังทดสอบเทคโนโลยีการถ่ายทำภาพยนตร์แบบใหม่ร่วมกับ IMAX. นอกจากนี้, เขาได้เปิดเผยรายละเอียดของเทคโนโลยีใหม่ที่น่าประทับใจและจะส่งผลดีต่อศิลปะการสร้างภาพยนตร์.

Christopher Nolan และเทคโนโลยี IMAX - การสร้างภาพยนตร์ใหม่

การทดสอบเทคโนโลยีใหม่ของ Christopher Nolan

Christopher Nolan ได้ทำการทดสอบเทคโนโลยีการถ่ายทำภาพยนตร์แบบใหม่ร่วมกับ IMAX. นักแสดงหลายคนเช่น แมตต์ เดมอน (Matt Damon), เซ็นเดยา (Zendaya), แอนน์ แฮททาเวย์ (Anne Hathaway), โรเบิร์ต แพตตินสัน (Robert Pattinson), ลูพีตา ญองอ (Lupita Nyong’o) และ ชาร์ลีซ เทรัน (Charlize Theron) ได้รวมเข้ากับโปรเจกต์นี้. เทคโนโลยีใหม่ของ IMAX นั้นยกระดับไปอีกขั้นอย่างน่าประทับใจและจะส่งผลดีต่อศิลปะการสร้างภาพยนตร์.สำหรับงานที่ไม่ธรรมดานี้, การที่ได้เห็นการพัฒนาเทคโนโลยีถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยฟิล์มเซลลูลอยด์เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมเสมอ. IMAX กำลังได้รับการผลักดันไปในระดับสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้.

ประวัติของ Christopher Nolan และเทคโนโลยี IMAX

Christopher Nolan ได้ใช้เทคโนโลยีของ IMAX ในการถ่ายทำภาพยนตร์อยู่เสมอ. เริ่มตั้งแต่ ‘The Dark Knight’ (2008) ที่สร้างปรากฏการณ์ด้วยการใช้กล้อง IMAX ความละเอียดสูงในการถ่ายทำภาพยนตร์เป็นครั้งแรก. หลังจากที่มักถูกใช้ในการถ่ายทำสารคดีเป็นส่วนใหญ่, Warner Bros. แสดงความกังวลต่อความซับซ้อนในการถ่ายทำและทุนสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น. แต่โนแลนได้ยืนกรานว่าเทคโนโลยีนี้จะผลักดันงานภาพให้มีความยิ่งใหญ่มากขึ้น.‘The Dark Knight’ ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล และทำให้โนแลนตัดสินใจใช้กล้อง IMAX ในการถ่ายทำภาพยนตร์ต่อมาของเขาทุกเรื่อง. ไม่ว่าจะเป็น ‘Inception’ (2010), ‘The Dark Knight Rises’ (2012), ‘Interstellar’ (2014) และ ‘Dunkirk’ (2017), ทั้งสิ้นเป็นภาพยนตร์ระดับบล็อกบัสเตอร์ด้วยกัน.ล่าสุดโนแลนได้นำเทคโนโลยีกล้อง IMAX ฟิล์ม 70 มม. ซึ่งมอบภาพที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุดในการถ่ายทำภาพยนตร์ดราม่าเป็นครั้งแรก. ‘Oppenheimer’ เป็นภาพยนตร์ที่เน้นฉากการสนทนาเป็นหลัก แต่ด้วยภาพที่มีความละเอียดสูงและมีขนาดใหญ่มาก, กอปรกับระบบเสียงของ IMAX ที่มีรายละเอียดสูงกว่าระบบเสียงของโรงภาพยนตร์ทั่วไป. นั่นทำให้โนแลนสามารถนำเสนอมิติที่ลึกซึ้งของตัวละคร เจ. รอเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ (J. Robert Oppenheimer) ที่รับบทโดย คิลเลียน เมอร์ฟี (Cillian Murphy) ได้อย่างน่าอัศจรรย์.Christopher Nolan สามารถดึงศักยภาพของ IMAX มาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและผลักดันการใช้กล้อง IMAX ในการถ่ายทำภาพยนตร์ไปอีกขั้น. ผู้ชมและสื่อจับตามองโปรเจกต์ถัดไปของเขาเป็นอย่างมาก.