กรุงเทพมหานครได้ออกข้อบัญญัติใหม่เพื่อควบคุมการเลี้ยงและปล่อยสัตว์ในเขตพื้นที่ โดยมีมาตรการสำคัญ เช่น การบังคับให้ฝังไมโครชิปในสุนัขและแมว เพื่อลดปัญหาสัตว์จรจัดและสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน นอกจากนี้ยังมีการกำหนดให้ผู้เลี้ยงสัตว์ต้องจดแจ้งจำนวนสัตว์เลี้ยง และมีบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน

ข้อบัญญัติใหม่ช่วยแก้ปัญหาสัตว์เลี้ยงจรจัดและสร้างความปลอดภัยให้คนกรุงเทพฯ

การจดแจ้งจำนวนสัตว์เลี้ยง

หลังจากที่ข้อบัญญัติฉบับนี้ประกาศใช้ ผู้เลี้ยงสัตว์จะต้องมีการจดแจ้งจำนวนสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในความดูแล ซึ่งจะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามและควบคุมจำนวนสัตว์เลี้ยงในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะไม่มีบทลงโทษย้อนหลังสำหรับผู้เลี้ยงที่มีสัตว์เกินจำนวนที่กำหนด แต่จะมีผลบังคับใช้หลังจากประกาศ 360 วัน หากฝ่าฝืนจะมีบทลงโทษตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535การฝังไมโครชิปในสุนัขและแมวข้อบัญญัติฉบับนี้ยังกำหนดให้สุนัขและแมวทุกตัวต้องมีการฝังไมโครชิป เพื่อให้สามารถระบุตัวเจ้าของสัตว์เลี้ยงได้ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาสัตว์จรจัดและสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน โดยหากพบสัตว์ที่ไม่มีการฝังไมโครชิป เจ้าหน้าที่จะสามารถนำไปไว้ที่ศูนย์ควบคุมและพักพิงสุนัขกรุงเทพมหานคร ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เขตประเวศการขออนุญาตเลี้ยงสัตว์เพื่อผสมพันธุ์หรือประกอบธุรกิจสำหรับกรณีที่ต้องการเลี้ยงสัตว์เพื่อผสมพันธุ์หรือประกอบธุรกิจ ผู้เลี้ยงสามารถขออนุญาตเพิ่มเติมได้ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข โดยจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและมาตรฐานที่กำหนด เพื่อให้การเลี้ยงสัตว์เป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัย

การดูแลสัตว์จรจัดและสัตว์ดุร้าย

นอกจากการควบคุมการเลี้ยงสัตว์แล้ว ข้อบัญญัติฉบับนี้ยังมีมาตรการในการดูแลสัตว์จรจัดและสัตว์ดุร้ายที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน โดยสำนักอนามัยของกรุงเทพมหานครจะมีหน่วยสัตวแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการทำหมันสัตว์จรจัดในแต่ละพื้นที่ เพื่อลดจำนวนสัตว์จรจัด ส่วนสุนัขที่มีความดุร้ายและสร้างความเดือดร้อนจะถูกนำไปไว้ที่ศูนย์ควบคุมและพักพิงสุนัขกรุงเทพมหานคร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อประชาชน

ประโยชน์ของข้อบัญญัติใหม่

ด้วยมาตรการต่างๆ ที่กำหนดในข้อบัญญัติฉบับนี้ จะช่วยแก้ไขปัญหาสัตว์เลี้ยง สัตว์จรจัด และสัตว์ดุร้ายที่สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับประชาชนในกรุงเทพมหานคร ทำให้เมืองหลวงมีความปลอดภัยและน่าอยู่มากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้เลี้ยงสัตว์และประชาชนทั่วไป

เทศบาลเมืองสะเดา จังหวัดสงขลา ได้รับรางวัลเครือข่ายเมืองสุขภาพดีระดับภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออก (SEAR) จากกรมอนามัย และองค์การอนามัยโลก ในการประยุกต์ใช้การประเมินผลกระทบต่อสุขภาพเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเมืองสุขภาพดี โดยมีการบูรณาการความร่วมมือกับศูนย์บริการสาธารณสุขในพื้นที่ ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และเป็นก้าวสำคัญในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น

เมืองสะเดาคว้ารางวัลระดับภูมิภาค ด้วยความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ

ก้าวสำคัญสู่การเป็นเมืองสุขภาพดี

เทศบาลเมืองสะเดา จังหวัดสงขลา ได้รับรางวัลเครือข่ายเมืองสุขภาพดีระดับภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออก (SEAR) จากกรมอนามัย และองค์การอนามัยโลก ในการประยุกต์ใช้การประเมินผลกระทบต่อสุขภาพเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเมืองสุขภาพดี นายวัชชพล ปริสุทธิ์กุล นายกเทศมนตรีเมืองสะเดา กล่าวว่า รางวัลที่ได้รับถือเป็นแรงผลักดันในการทำงานในอนาคต และเป็นการยกระดับภาพลักษณ์ของท้องถิ่นให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ไม่ใช่ทำเฉพาะเรื่องโครงสร้างพื้นฐานอย่างเดียว แต่ยังครอบคลุมถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วย

ความร่วมมือกับศูนย์บริการสาธารณสุขสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน

นายวัชชพล กล่าวว่า การที่เทศบาลเมืองสะเดาได้เข้าร่วมโครงการเครือข่ายเมืองสุขภาพดีกับกรมอนามัย และองค์การอนามัยโลก จะช่วยให้พี่น้องประชาชนเห็นว่าหน่วยงานท้องถิ่นเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และเป็นหน่วยงานที่พึ่งพาได้มากที่สุด โดยเฉพาะการบูรณาการความร่วมมือกับศูนย์บริการสาธารณสุขในพื้นที่ ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขที่มีมาตรฐาน

ก้าวสู่การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น

นายวัชชพล กล่าวว่า เป้าหมายสูงสุดของการเข้าร่วมโครงการนี้คือการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น โดยมองว่าเทศบาลควรจะทำงานในทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของประชาชน ไม่ใช่เฉพาะเรื่องโครงสร้างพื้นฐานอย่างเดียว แต่ควรรวมถึงเรื่องสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และอาชีพ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างครอบคลุม ซึ่งในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดในบางเรื่อง แต่หวังว่าในอนาคตจะมีการเพิ่มอำนาจให้กับเทศบาลมากขึ้น เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การถ่ายโอน รพ.สต. ควรมอบให้เทศบาลดูแล

นายวัชชพล กล่าวว่า ในปัจจุบัน รพ.สต. ที่ถ่ายโอนไปให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สงขลา มีไม่ถึงครึ่ง เนื่องจากบางแห่งห่างไกลจาก อบจ. ซึ่งตนคิดว่าควรมอบ รพ.สต. ให้เทศบาลดูแลแทน เพราะจะทำให้การเข้าถึงบริการสาธารณสุขของประชาชนดีขึ้น โดยเทศบาลจะสามารถปรับรูปแบบการให้บริการให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนในพื้นที่ได้ดีกว่า เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่า