เบื้องต้น นายชอ ยอมรับว่าขณะเกิดเหตุเมาสุราและขับรถด้วยความเร็ว โดยเข้าใจว่าถึงบริเวณถนนเลี้ยวรถเข้าบ้านพัก จึงเลี้ยวรถและเกิดอุบัติเหตุ ส่วนผู้เสียหายได้แจ้งเหตุการณ์ไปยังศูนย์วิทยุ 191 และรอเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจที่เกิดเหตุ ซึ่งใช้เวลานานกว่าจะมาถึง ระหว่างนั้นได้แจ้ง 1669 ออกเหตุรับ
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง ได้ให้นายชอเป่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์ ซึ่งพบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 151 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด (50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์)
ต่อมา ร.ต.อ.สอ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีจราจร ได้ลงบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดี แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุ และผู้ขับขี่ ทำให้ไม่มีหลักฐานชัดเจน
ต่อมา ร.ต.อ.สอ ได้นัดคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเจรจาตกลงชดใช้ค่าเสียหาย แต่ตกลงกันไม่ได้ และผู้เสียหายไม่ยินยอมให้เปรียบเทียบปรับ อย่างไรก็ตาม ร.ต.อ.สอ ได้เปรียบเทียบปรับนายชอ ซึ่งเป็นผู้ขับขี่ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหาย ทำให้คดีทางอาญาสิ้นสุดลง
ผู้เสียหายได้ติดต่อ ร.ต.อ.สอ เพื่อสอบถามความคืบหน้าของคดี แต่กลับถูกข่มขู่ และได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นกลาง ไม่เหมาะสมกับการเป็นพนักงานสอบสวน ซึ่งมีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิของประชาชน
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้เสียหายมีข้อสงสัยและรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ดังนี้
1. การเปรียบเทียบปรับนายชอ ซึ่งเป็นผู้ขับขี่ในขณะเมาสุรา โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหาย ทำให้คดีทางอาญาสิ้นสุดลง ซึ่งอาจมีการเรียกรับผลประโยชน์ต่างตอบแทนกัน
2. ร.ต.อ.สอ ยังมาแจ้งข้อกล่าวหาว่ารถยนต์ของผู้เสียหายจอดกีดขวางทางจราจร ซึ่งไม่เป็นความจริง เนื่องจากจอดอยู่ริมถนนที่เป็นพื้นดิน ไม่ได้กีดขวางการจราจร
3. นายชอ ซึ่งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร ที่ขับรถเมาสุราและชนท้ายรถของผู้เสียหาย แต่กลับไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ทำให้ผู้เสียหายสงสัยว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์ต่างตอบแทนกันหรือไม่
ผู้เสียหายรู้สึกว่าการดำเนินคดีในครั้งนี้ไม่เป็นธรรม และสงสัยว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์ต่างตอบแทนกัน ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้มีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิของประชาชน